สารคดี : ที่นี่เขาค้อ


                เมื่อฤดูหนาวมาถึง หลายคนก็คงเริ่มหาสถานที่ท่องเที่ยวในวันหยุดยาวอย่างช่วงเทศกาลปีใหม่  หลายๆ สถานที่ฮ็อตฮิต อย่างจังหวัดเชียงใหม่หรือจังหวัดแม่ฮ่องสอนคงผุดขึ้นมาในสมองของใครหลาย ๆ คนอย่างแน่นอน  แต่ด้วยระยะทางและความยากลำบากในการเดินทาง  อาจจะทำให้อีกหลายคนเหนื่อยอ่อนไปกับการเดินทางเสียก่อนแทนที่จะได้พักผ่อนปลายปี  ดังนั้น หลายคนอาจเปลี่ยนใจแวะเที่ยวแค่จังหวัดเพชรบูรณ์ ก็ที่อำเภอเขาค้อนี่เอง เพราะเดินทางจากกรุงเทพถึงเขาค้อแค่ 390 กิโลเมตรเท่านั้น และด้วยฉายาที่ใครๆ ก็เรียกเขาว่า สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยเนื่องจากมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 10-25 องศา และวิวทิวทัศที่สวยงามเมื่อมองลงมาจากบนเขา ยิ่งเชิญชวนนักเดินทางให้ไปท่องเที่ยวที่นี้สักครั้งหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้
                ครอบครัวของผม เลือกเดินทางในวันที่ 31 ธ.ค. วันส่งท้ายปี 2553 อากาศในกรุงเทพฯ วันนั้นดูจะเป็นใจให้การเดินทางในครั้งนี้ไม่มีอุปสรรคใดๆ ช่วงเช้าวันนั้นท้องฟ้าโปร่ง อากาศเย็นกำลังดี ถนนหนทางในกรุงเทพฯ ก็ดูจะโล่งแปลกตาอยู่เล็กน้อย  คงเพราะหลายๆ คนได้เดินทางออกต่างจังหวัดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว 
                การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นที่ทางด่วนโทลเวย์เดินทางเข้าสู่ถนนพหลโยธินซึ่งเป็นถนนหมายเลข1      ที่มุ่งหน้าสู่ภาคเหนือ เมื่อผ่านตัวเมืองสระบุรีมาสักระยะ  เราก็ตัดเข้าถนนหมายเลข21 มุ่งหน้าสู่จังหวัดเพชรบูรณ์ การเดินทางตั้งแต่กรุงเทพจนถึงเพชรบูรณ์เป็นถนนขนาดใหญ่  ทำให้การเดินทางราบรื่น และเมื่อได้เดินทางมาสักระยะ  ก็เริ่มพบร้านขายไก่ย่างตามข้างทางเป็นระยะจึงต้องขอแวะพักสักหน่อย ชื่อของอำเภอนี้ถ้าหากใครได้ยินก็ต้องรู้จักแน่นอน เรียกได้ว่าที่นี้เป็นอำเภอขายไก่ก็ว่าได้ เพราะที่นี้คืออำเภอ  วิเชียรบุรี ด้วยรสชาติไก่บ้านที่ถูกหมักด้วยเครื่องเทศที่เข้าเนื้อ คงไม่ต้องบอกว่าถูกปากคนที่ได้ลิ้มลองขนาดไหน
                เมื่อการเติมพลังงานสิ้นสุดลง การเดินทางจึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ไม่นานนักครอบครัวของผม       ก็มาถึงตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์ เริ่มสังเกตได้ว่ามีรถหนาแน่นขึ้นถนัดตา บางช่วงถึงกับมีรถติด บรรดา      รถเหล่านี้คงได้วางแผนมากางเต็นท์พักแรมเหมือนกัน เห็นได้จากสัมภาระบนหลังคารถคันหลายๆ คัน 
                ตอนนี้เวลาประมาณ 17.00 น. ล้อของเราก็เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนน 2268 ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นสู่เขาค้อ   การเดินทางช่วงนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถนนมีลักษณะเป็นทางขึ้นเขามีความชันมากแนะนำว่าควรใช้เกียร์ต่ำที่ให้กำลังส่งสูง ขณะเดียวกันก็ได้ลองวัดอุณหภูมิ ผลที่ได้คืออากาศตอนนี้เหลือ 23 องศาแล้ว เหมือนเป็นการต้อนรับของเขาค้อจริงๆ ที่ให้อากาศเย็นสบายแก่ครอบครัวของเราตั้งแต่ทางขึ้นเขา วิวระหว่างทางนี้ก็สวยเป็นพิเศษเช่นกัน เริ่มสามารถมองเห็นทิวเขาสลับกันไปมา อีกทั้งท้องฟ้าวันนั้นมีสีสวยแปลกตาเป็นพิเศษ

                ระหว่างทางขึ้นเขาอาจทำให้หูอื้อได้ เนื่องจากความดันอากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เทคนิคทำให้หูไม่อื้อคือ การกลืนน้ำลาย จะช่วยทำให้หายหูอื้อได้ เป็นการปรับสมดุลความดันอากาศภายในร่างกายกับสภาพแวดล้อม  เมื่อเราเดินทางมาถึงแยกแรก  ให้เลี้ยวขวาไปเข้าถนนหมายเลข 2196 ถึงจุดนี้จะเป็นจุดแวะพัก  มีร้านอาหาร และร้านขายของจำนวนมาก  ขอแนะนำให้แวะพักทานอาหารและสำรวจสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นว่ามีสิ่งใดขาดตกบกพร่องอะไรหรือไม่  เพราะบริเวณนี้จะเป็นจุดเดียวที่มีร้านค้าใหญ่ๆ ตั้งอยู่  หากเลยไปแล้วต้องย้อนกลับมาสิบกว่ากิโล
                เมื่อเดินทางมาถึงตัวอำเภอเขาค้อแล้วมีเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจอย่างยิ่ง นั่นคือ ที่นี่มีถนนคนเดินและร้านขายของเป็นจำนวนมาก  เตรียมไว้เอาใจบรรดานักช้อปอีกด้วย   บริเวณเดียวกันนี้เองก็คือสถานที่ชมทะเลหมอกที่นักท่องเที่ยวรอคอยที่จะได้ดูในตอนเช้า  แต่เป้าหมายของครอบครัวของผมก็คือต้องหาที่พักให้เจอก่อน และผมก็ได้สถานที่กลางเต็นท์ในค่ำคืนตอนรับปีใหม่ที่  Lake  &  Hill Resort ทางเข้าที่พักจะอยู่ข้างๆโรงพยาบาลเขาค้อ  บริเวณทางเข้าจะเป็นที่อยู่ของชาวเขา  มีบ้านไม้สร้างเรียงยาวต่อๆกันตลอดทั้งแนว  ภายหลังเจ้าของที่พักเล่าว่า  มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่จะเข้ามาพัก  พอเห็นเส้นทางขรุขระ ก็นึกว่าตนเองหลงทาง จึงกลับออกไป
                เมื่อมาถึงที่พักครอบครัวของผมก็ติดต่อขอกางเต็นท์ในทันที  ต้องขอบอกก่อนว่าเจ้าของที่พักแห่งนี้บริการเป็นกันเองมาก และคิดค่ากางเต็นท์แค่เพียงคนละ100 บาทเท่านั้น อีกทั้งมีห้องสุขาและห้องอาบน้ำรับรอง หาที่ไหนถูกไปกว่านี้บนเขาค้อไม่ได้แล้วจริงๆ  หลังจากติดต่อเข้าพักเรียบร้อยเราสี่คนพ่อแม่ลูกไม่รอช้า  รีบไปกางเต็นท์บริเวณที่รีสอร์ทกำหนดไว้  การกางเต็นท์ตอนกลางคืนที่แทบมองไม่เห็นกินเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะกางเสร็จเรียบร้อย  ขอแนะนำว่าควรพกไฟฉายติดตัวไปด้วยเสมอเวลาไปเที่ยวพักกางเต็นท์ตามสถานที่ต่างๆ อีกทั้งควรเช็คอุปกรณ์และฝึกกางเต็นท์ก่อน หากไม่เคยใช้หรือไม่ได้ใช้เป็นเวลานาน  หลังจากพวกเรามีที่นอนในค่ำคืนนี้แล้ว ก็ได้เวลาออกไปเที่ยวถนนคนเดินที่เพิ่งผ่านมาสักหน่อย


                ถึงตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็วหลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว  อุณหภูมิตอนนี้ต่ำกว่า 20 องศา เป็นที่แน่นอน ซึ่งทำให้ทุกคนเริ่มคว้าเสื้อกันหนาวออกมาใส่อย่างพร้อมเพรียง เมื่อมาถึงถนนคนเดิน สังเกตได้อย่างชัดเจนว่าทุกคนที่มาเที่ยวดูมีความสุขที่จะได้ฉลองปีใหม่บนเขาค้อกันทั่วหน้า  อาจจะด้วยหลายๆ เหตุผลแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะมาท้าลมหนาวก็ดีหรือจะมาชมวิวดูทะเลหมอกก็ดี  ร้านค้าที่มาขายตามถนนคนเดินแห่งนี้ ส่วนมากจะเป็นร้านขายของที่ระลึกมากกว่าร้านขายอาหาร ร้านแรกที่ทำให้ผมสะดุดตาที่สุดเป็นร้านขายกาแฟมีป้ายไฟเขียนคำว่า “Coffee” แขวนไว้หน้าร้าน จากมุมนี้ดูจะเป็นเพียงร้านขายกาแฟเล็กๆ แต่ดูแล้วลูกค้าหน้าร้านมีไม่น้อยเลย อาจเป็นเพราะทุกคนคงอยากได้ไออุ่นจากกาแฟร้อนๆ เพื่อที่จะทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น  คงไม่มีอะไรที่ให้ความรู้สึกดีไปกว่า  การทำให้ร่างกายอบอุ่นในสถานที่ที่หนาวเย็นอีกแล้ว  ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนความรู้สึกที่ได้นอนในผ้าห่มหนาๆ แล้วเปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำ  ร้านที่น่าสนใจถัดมาคือร้านขายของที่ระลึก  ร้านนี้จะสังเกตเห็นว่าจะมีเด็กและวัยรุ่นเดินเข้าออกไม่ขาดสาย  สินค้าภายในร้านจะออกแนววัยรุ่นนิดๆ ขายสิ้นค้าพวกพวงกุญแจ โปสการ์ด สมุด นาฬิกา และเสื้อผ้า  ก่อนจะกลับที่พักผมก็ได้อุดหนุนสินค้าของชาวเขานิดหน่อย  เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เติบใหญ่ในอนาคต
                ค่ำคืนนั้นอากาศเย็นลงเป็นพิเศษ  หากใครลืมผ้าห่มหรือเสื้อกันหนาวหนาๆ มาอาจจะต้องรู้สึกเหมือนมีน้ำแข็งมาทิ่มแทงร่างกาย  ในไม่นานเวลาก่อนจะเที่ยงคืนก็มาถึงทุกคนที่พักในรีสอร์ทแห่งนี้ต่างเปล่งเสียงนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่กันอย่างพร้อมเพรียง  ตามด้วยการจุดพลุฉลองปีใหม่เป็นร้อยลูกอวดความงามไม่ขาดสาย  ก่อนจะเข้านอนผมได้ลองวัดอุณหภูมิเป็นครั้งสุดท้าย  ตัวเลขที่ปรากฏบนเครื่องวัดบอกตัวเลข 11องศา ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าสงสัยจะเป็นการต้อนรับของปี 2011 คืนนั้นผมหลับสบายอย่างบอกไม่ถูก ตัวผมถูกคลุมด้วยผ้าห่มหนาๆอีกทีหนึ่ง มันเป็นความรู้สึกดีจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้

                เช้าวันขึ้นปีใหม่สีหน้าทุกคนต่างบ่งบอกความตื่นเต้นที่จะได้ไปดูทะเลหมอก  จุดไคลแม็กซ์ที่ใครมาเขาค้อจะต้องพลาดไม่ได้  เมื่อเราเดินทางไปถึงแทบต้องตะลึงกับสิ่งวิเศษที่ธรรมชาติมอบให้อยู่ตรงหน้า พื้นเบื้องล่างตอนนี้ขาวโพลนไปด้วยหมอก  ยังกับพื้นทะเลสีขาวไกลสุดลูกหูลูกตาสมแล้วที่เขาตั้งฉายาให้ที่นี่ว่า สวิตเซอร์แลนด์ของเมืองไทย  ผมเชื่อว่าถ้าจะหาทะเลหมอกที่ไหนมาเทียบก็คงต้องเป็นมวยคู่ใหญ่พอตัว
                หลังจากไปซึมซับบรรยากาศทะเลหมอกกันจนเต็มอิ่มแล้ว  การเดินทางของเราจึงเริ่มต้นอีกครั้ง มื้อเช้าวันนี้เราแวะทานอาหารที่ตั้งอยู่ข้างๆ เชิงเขา ชื่อว่าร้านพรสวรรค์ จากตรงนี้จะเห็นวิวข้างล่างอย่างชัดเจนอีกทั้งมีลมโชยเย็นๆ ตลอด  เมนูอาหารเด็ดๆที่นี้จะเป็นอาหารที่ประกอบจากผักเมืองหนาว รับรองความสดใหม่แน่นอน  เพราะชาวเขาที่นี่เป็นคนปลูกเองกับมือ ไม่ได้นำเข้าแต่อย่างใด  ตั้งแต่ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์เข้ามาจะเห็นมะขามขายอยู่ตลอดข้างทาง คราวนี้ผมเห็นหน้าร้านพรสวรรค์วางขายอยู่ก็เลยอดไม่ได้ต้องลองซื้อมาทานดูสักหน่อย  รู้สึกว่ามะขามของจังหวัดนี้รสชาติดีถึงกับเอาไปตั้งเป็นคำขวัญประจำจังหวัด หลังจากลองชิมดูปรากฏว่ามะขามที่นี้รสชาติหวานดีจริงๆ  แนะนำว่าให้ซื้อไปเป็นของฝากจะดีไม่น้อย
                ขากลับผมเห็นป้ายข้างทางขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า พักเขาค้อ 1 คืน อายุยืน1ปีแน่นอนครับผมเชื่อคำพูดนี้ในทันที  เพราะอากาศที่นี้บริสุทธิ์มากเต็มไปด้วยป่าเขา อาหารการกินส่วนมากก็จะเป็นผักใบเขียว การมาพักผ่อนปลายปี ณ ที่แห่งนี้เหมือนได้ชาร์ตแบตฯ ให้กับตัวเอง หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปีแล้ว
หากคุณคิดจะพัก คิดถึงเขาค้อดินแดนสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย ที่จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน


ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทละครวิทยุ

บทความ : ภัยเงียบจากอาหารขยะ